ค้นหา

ข่าวทันหุ้นวันนี้

18 มีนาคม 2558

ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี ข้อสังเกตการตกแต่งบัญชี บางประเด็น

ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี
ข้อสังเกตการตกแต่งบัญชี บางประเด็น

-การตกแต่งรายได้ ด้วยการเร่งรับรู้รายได้งวดอนาคตมาเป็นของงวดปัจจุบัน
พวกนี้มักเจอบ่อยในธุรกิจที่รายได้เกิดจากการประมาณ เช่นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้กล่าวไปถึงหลายครั้งพอควร อีกกลุ่มที่ต้องระวังคือกลุ่มที่มีรายได้รับมาล่วงหน้า เช่นธุรกิจอินเตอร์เน็ต ธุรกิจขายบัตรรายได้ล่วงหน้า เช่นบัตรโทรศัพท์ ค่าสมาชิกรายปี เช่น CAWOW (แคลิฟอร์เนียว๊าว เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว) ต้องพิจารณาจากลักษณะธุรกิจว่ามีเหตุให้เกิดหรือไม่ รายได้กระโดดผิดปกติหรือไม่ หุ้นพวกนี้ดูกระแสเงินสดจะไม่พบ เพราะรับมาจริง แต่แทนที่จะทยอยรับรู้มักลงทันทีทำให้รายได้สูง หนี้สินรายได้รอรับรู้ต่ำ ควรตรวจรอบการหมุนเวียนรายได้รอรับรู้ (รายได้/รายได้รอรับรู้เฉลี่ย) ถ้าสั้นมากก็พิจารณาว่าเป็นปกติหรือไม่ เช่น ออกมาได้ 6รอบต่อปี หรือหมุนเวียนตัดบัญชีเป็นรายได้ ทุกสองเดือน แต่ถ้าเราทราบว่าปกติรับสมาชิกเป็นรายปี อย่างนี้มีเหตุให้สงสัยแล้ว เป็นต้น

-การตกแต่งรายได้ด้วยการบันทึกรายได้เทียม/เท็จ พวกนี้ก็จะมีลูกหนี้ปลอมด้วย ดังที่กล่าวมาดูยาวๆรายไตรมาสประกอบ และดูงบกระแสเงินสดประกอบก็จะชัดเพราะพวกนี้กำไรพุ่งสูง แต่กระแสเงินสดรับจากการดำเนินงานต่ำ (ลูกหนี้เทียมย่อมไม่เกิดกระแสเงินสดรับเข้า)

-ตกแต่งรายจ่ายโดยการเลื่อนเป็นการทยอยตัดจ่ายแทนที่จะลงทันที มักจะพบรายการรายได้รอตัดจ่ายในงบแสดงฐานะการเงิน(งบดุล) บางบริษัทหนีไปตั้งเป็นสินทรัพย์เลย แล้วทยอยตัดผ่านเป็นค่าเสื่อมราคาหรือการขายสินค้า มักพบในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งดอกเบี้ยจ่ายเข้าในต้นทุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (INTEREST CAPITALIZATION) พิจารณาโดยดูโครงสร้างต้นทุนว่ามีดอกเบี้ยเป็นอย่างไร เปรียบเทียบหลายๆงวด และเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ 

-ตกแต่งรายจ่ายโดยการเลื่อนไปจ่ายงวดถัดไปแทนที่จะลงทันทีคล้ายกับข้างต้น แต่มักถูกผู้สอบบัญชีปรับปรุงย้อนหลัง ผลเสียคือโดนหลอกซื้อหุ้นคิดว่ามีกำไร พองวดต่อมาย้ายปรับปรุงย้อนหลัง ทำให้งวดที่ปรับปรุงล่าสุดก็มีกำไร งวดก่อนกำไรลด แต่ทำไงได้ ซื้อหุ้นมาแล้วตั้งแต่งวดก่อนเพราะเข้าใจผิดนึกว่ามีกำไรดี

-ตกแต่งรายจ่ายโดยหลีกเลี่ยงไม่บันทึกรายจ่าย ไม่ลงเอาดื้อๆ มักจะเป็นรายการพวกหนี้สงสัย ขาดทุนจากการตีมูลค่าสินค้าคงเหลือ การวิเคราะห์อัตราส่วนหมุนเวียนจะช่วยประเมินความพอเพียงของการตั้งค่าใช้จ่าย

5 มีนาคม 2558

วิธีดูหุ้นปั่น

วิธีดูหุ้นปั่น 
 หุ้นปั่นในนิยามของผม มี 2 จำพวก
 
– หุ้นพื้นฐานแย่มากๆ แล้วปั่น
 – หุ้นพื้นฐานดี หรือพอมีพื้นฐานบ้าง ปั่นจนราคาแพงเวอร์ เป็นการปั่นแบบเนียนๆ
 
ลักษณะร่วมของหุ้นปั่นมีหลายอย่าง
 หุ้นบางตัว อาจเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ ถึงแม้ตรงกับหุ้นปั่นบางประการ
 แต่ถ้ามีลักษณะร่วม ตรงกันหลายอย่าง โปรดระวัง
 
หุ้นปั่นมักเป็นอย่างไร
 
1.ประตูหน้ามีไม่เข้า ชอบเข้าประตูหลัง
 หน้าบ้านมี ชอบมุดเข้าประตูหลัง ไม่ปกติ หุ้นที่เข้าตลาดโดยการ backdoor listing ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์อาจน้อยกว่า เข้าประตูหลัง ไม่เสียงดัง ไม่เอิกเกริก แต่ถ้าของดี ทำไมต้องทำลับลมคมใน ทำไมไม่เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย หุ้นของใคร ที่เข้าประตูหลัง อาจจะไม่ทุกตัว แต่ควรสงสัย
 
2. โปรดลืมฉัน
 
หุ้นบางตัว อยากให้นักลงทุนลืมๆชื่อเสียง(เน่าๆ) ในอดีต ทำอย่างไร วิธีที่นิยมคือเปลี่ยนชื่อบริษัท หุ้นบางตัว อยู่ๆโผล่ๆขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยมีการขาย ipo มันมาจากการเปลี่ยนชื่อ หวังว่าเปลี่ยนชื่อแล้ว จะเป็นสิริมงคล เป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ล้างเรื่องเน่าๆ ในอดีตให้ผ่านไป มันก็แค่ “เหล้าเก่าในขวดใหญ่” นิสัยกมล…ของผู้บริหาร มันไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อบริษัท ลองดูหุ้นที่ถือ ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่ออีก จนขุดหารากเหง้าไม่เจอ ท่านต้องระวังตัวแล้ว
 
3.หากำไรไม่เจอ
 
หรือมีก็บางๆ ก็ความมั่งคั่งหลักของผู้บริหาร ไม่ได้มาจากเงินปันผล แต่มาจากการหากินกับราคาหุ้น กับ”การดูด” ความมั่งคั่งจากบริษัท ผ่านรายจ่ายที่ถูกกฏหมาย เช่นเงินเดือน รถประจำตัวแหน่ง ค่าตอบแทนต่างๆ กับผลประโยชน์ที่ตกลงกับบุคคลที่ 3 ผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ ราคาแพงกว่าปกติ ส่วนที่จ่ายเกิน ก็ทอนกับมาสู่ผู้บริหารหรือเครือญาติ บริษัทเหล่านี้มีแต่ขาดทุนซ้ำซาก เพราะผู้บริหารร่วมใจกัน “ดูด” นั่นเอง หรือบางครั้งก็เลี้ยงให้บริษัทมีกำไรขาดทุนบางๆ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นด่ามาก แล้วเอาเวลามาหากินกับส่วนต่างราคาหุ้น เป็นพักๆ ท่านเห็นไหมบริษัทอย่างนี้ มีกี่บริษัทในตลาดหุ้นไทย
 
4.เพิ่มทุนเป็นนิจ
 
ต่อจากข้อที่แล้ว ในเมื่อกิจการขาดทุนเสมอๆ จากการดูดเงินของผู้บริหาร เมื่อผ่านไปนานเข้า เงินหมดบริษัท ส่วนทุนใกล้ติดลบ อาจโดนตลาดแขวน sp ย้ายเข้ากลุ่มี rehap ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว นั่นคือการเพิ่มทุน จะเอาเงินจากใครดี ควักกระเป๋าเอง หรือดูดเงินจากรายย่อย แน่นอนต้องเป็นอย่างหลัง (บางบริษัทมีเงื่อนใขให้รายย่อยซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิ์ได้ พอเม่าคนไหนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเกินสิทธิ์ ผลออกมา ได้ครบทุกคนเลย แต่ผู้บริหารไม่ซื้อสักหุ้น โอละพ่อ.. ก็วัตถุประสงค์คือดูดเงินจากรายย่อย นี่นา 

5.ปั่นหุ้น ต้องมีสตอรี่
 
ต่อเนื่องจากการเพิ่มทุน ก็ถ้าไม่มีสตอรี่ ที่ตื่นเต้น ใคร้..จะยอมเพิ่มทุน คราวนี้ก็โหมประโคมข่าวตามหนังสือพิมพ์ โปรเจคโน้นนี้ เราจะทำพลังงานทดแทน เราจะหันไปทำธุรกิจใหม่ ยอดขายเราจะโตปีละ 50% บลาาๆ รายย่อยพอให้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้น บวกกับการชงข่าว ออกข่าวของผู้บริหาร เกิดอาการอิน ความโลภเริ่มทำงาน สติเริ่มหาย โลกสดใสเหลือเกิน จัดไปเพิ่มทุน แถมซื้อเกินสิทธ์
 
6.ฝนตกขี้หมูไหล คน…มาพบกัน
 
สังเกตไหม หุ้นปั่นมักจะมีชื่อ นามสกุล ซ้ำๆไปมาไม่กี่ตระกูล ไม่กี่คน โยงใยกันไหมหมด ชาติที่แล้วอาจมีกรรมอะไรกัน ชาตินี้เลยต้องมาพบกัน (เพื่อปั่นหุ้น) หุ้นบางตัว รายชื่อผู้ถือหุ้นจะซ้ำๆ กับหุ้นอีกตัว หรืออีกหลายตัว เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้ อาโนเนะ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักกันจริ๊งๆ เราพบกันโดยบังเอิญ หรือที่จริงเป็นการสบคบคิด รวมหัว เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน เคยเห็นไหม หุ้นบางตัวเพิ่มทุน ได้เงินทุน แทนที่จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ กลับเอาไปซื้อหุ้นอีกตัวที่ราคาแพงๆ (แล้วไอ้โม่งที่ขายหุ้นให้คือใคร) หุ้นบางตัว swap หุ้นวุ่นวายกันไปหมด แต่สุดท้ายพวกเดียวกันทั้งน้านนนน
 
7.หุ้นดี ดันไม่มีเจ้าของ
 
บ้าหรือเปล่า บอกว่าหุ้นตัวเองดีนักหนา แต่ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้น ถือกันคนละไม่เกิน 5% ไหนบอกดีหนักหนา ทำไมไม่ถือหุ้น 50% ก็วัตถุประสงค์การถือหุ้นไม่ใช่ รอรับปันผล หรือส่วนแบ่งกำไร แต่คือการดูดและเอาส่วนต่างราคา ทำไมจะต้องไปถือหุ้นเยอะๆ ล่ะ ถือแค่ให้พอรวบอำนาจการบริหารก็พอ หุ้นปั่นแทบทุกตัวจะเป็นอย่างนี้ 

แต่หุ้นบางตัวถือกันคนละไม่เยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ดันเป็น nominee คนกันเองทั้งนั้น อย่างนี้อาจไม่เข้าข่าย
 
8.ลูกรักของ กลต. ตลท.
 
เมื่อทางการเริ่มได้กลิ่นไม่ดี สิ่งแรกที่ทำคือให้บริษัทชี้แจง ซึ่งบริษัทก็จะตะแบงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็แถจนผ่านละ เพราะที่ปรึกษาทางการเงินก็เตรียมข้อมูลมาแล้ว (รับเงินมาแล้วนี่) ตอนผ่านวาระประชุม ก็สบายเพราะผู้บริหารถือสัก 20% ก็ผ่านแล้ว รายย่อยที่มีเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ไม่มีพลัง เพราะส่วนใหญ่ไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่รู้จักการพิทักษ์สิทธ์ตัวเองด้วยซ้ำ ทางการก็พยายามเตือนเท่าที่จะทำได้ บอกให้ไปประชุมผ่านวาระสำคัญ ใส่เทรดดิ้ง alert ใส่ turnover list ยังเอาไม่อยู่
 
9.ไม่ครบองค์ประชุม
 
ในเมื่อเป็นบริษัทไม่มีเจ้าของ ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตก รวมกันได้แค่ 20-30% พอนัดประชุมก็มัก “ไม่ครบองค์ประชุม” ต้องนัดใหม่ ซึ่งครั้งที่ 2 มักจะประชุมได้ เพราะใช้คนละเกณฑ์ วาระไหนที่น่าสงสัย ก็มักจะผ่านในการประชุมครั้งที่ 2 นี่เอง หุ้นตัวไหนที่ไม่ครบองค์ประชุม ต้องระวัง
 
10.ราคาที่หวือหวา
 
เป็นหุ้นปั่น ราคาต้องหวือหวา เพราะนี่คือเชื้อไฟอย่างดีเพื่อล่อ “แมงเม่า”ให้มาติดกับ ไฟหน้าจอหุ้นปั่นจะกระพริบตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟจากกองไฟที่ล่อแมงเม่า เม่าหลายคนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ overconfidence bias มักคิดว่าตัวเองเจ๋งจะ”หนีทัน” ดันลืมไปว่า ถ้าจ้าวมือไม่เก่งจริง โดนเม่ากิน จะเป็นจ้าวมือได้อย่างไร ราคาหุ้นที่ขึ้นพร้อมบิดหนาๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ามีคนจะซื้อเยอะ เผลอเมื่อไหร่บิดหายทันที พร้อมกันห้าช่อง เหลือแต่บิดรายย่อย แล้วโยนโครมซ้าย ยัดหุ้นใส่มือเม่า offer ที่หนาๆ โดนเคาะ อย่าคิดว่าแรงซื้อจริง อาจเป็นของจ้าวมือหรือเครือขายซื้อหุ้นตัวเอง เพื่อทำเสมือนมีคนสนใจซื้อหุ้นเยอะ ในหุ้นปั่น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
 
11.เราจะ turnaround
 
เราเปลี่ยนชื่อบริษัท เราเปลี่ยนกรรมการ เราจะเปลี่ยนธุรกิจ เราจะเทินอราวด์ ถ้าธุรกิจมันเปลี่ยนกันง่ายๆก็ดีซิ หุ้นหลายตัวเอาให้ได้โครงการไว้ก่อน (ไว้หลอกนักลงทุนให้เพิ่มทุน) พอทำจริงๆ ขาดทุนบักโกรก จำบริษัททำป้ายโฆษณารถเมย์ได้ไหม เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของการปั่นหุ้น สตอรี่เทินอราวด์ เอาไว้หลอกวีไอที่ฟังก็ชักเคลิ้ม
 
12.ขุดผีจากหลุม
 
บางครั้งลงทุนแม้กระทั่งขุดผีจากหลุม วิธีการก็ไปซื้อบริษัทเน่าๆที่อยู่ใน rehap นำมาปัดฝุ่น ใส่ธุรกิจใหม่ที่ดาดๆ พอผลประกอบการผ่านเกณฑ์ ก็ออกจากหลุม ปั่นราคาขึ้นไปเยอะ นัยว่าธุรกิจพื้นตัวแข็งแกร่งแล้ว ระหว่างก็รินขายตลอด จำบริษัท ภาพทางขวางของเอเชีย ได้ไหม นี่ก็เห็นบริษัทก่อสร้างอีก บริษัที่ผู้บริหารโดนคดียักยอก สุดท้ายต้องตัดขายหุ้นให้พวกขุดผี น่าแปลกว่าคนที่ไปขุดผี ดันเป็นกลุ่มเดิมๆอีกแล้ว บังเอิญจิงๆๆ
 
13.พื้นฐานวันนี้ ราคาชาติหน้า
 
เป็นหุ้นที่พอจะมีพื้นฐานบ้าง เป็นหุ้นที่อาจจะ turnaround ได้จริง จากขาดทุนซ้ำซาก มีกำไรนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นโดนกระชากไป สะท้อนกำไรหลายๆปีข้างหน้าแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าเอย หุ้นลม หุ้นอาทิตย์
 
14.หุ้นปั่น วีไอ
 
บริษัทมีโปรเจคมากมาย เป็นโปรเจคจริง แต่ใช้เงินเยอะจังเลย จะหาเงินจากไหนดี เอ่อ…ได้ข่าวนักลงทุนวีไอรวยกันนักใช่ไหม เอางี้ ไปติดต่อให้มา company visit บริษัทเราเดี่ยวนี้ !! ให้ตัวเลขกำไรไปเลย อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะกำไรเท่าไหร่ อัดแต่ข่าวดีๆ เอาให้เว่อๆหน่อย วีไอชอบ พอวีไอไล่ซื้อ ราคาดี เราก็ทยอยเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ อย่าให้มาก เดี๋ยวแตกตื่น เท่านี้เราก็ได้เงินทุนมาใช้ เสียสัดส่วนหุ้นไม่เท่าไหร่ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (พอเพิ่มทุนเสร็จ ก็ไม่ต้องให้ข่าวดีแล้วนะ)
 
15.หุ้นปั่นไอพีโอ
 
หุ้นเก่าเป็นสนิม หุ้นใหม่หน้าตาจุ๋มจิ่ม นักลงทุนชอบของใหม่ บิ้วให้เยอะๆ ออกสื่อ road show ขายหุ้นให้แพงที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของเดิม (ถ้าขายได้ถูกๆก็ไม่ต้องเข้าตลาดดีกว่า) หุ้นเก่าๆพีอี 10 เท่าแพง หุ้นใหม่ๆพีอี 30 เท่าบอกถูก ยังไม่พอ เทรดวันแรกบิ้วไปเลย ข่าวดีอัดเข้าไป ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ให้ข่าวเยอะๆ ยังขึ้นได้อีก ทีอีตันยังขึ้นเยอะได้เลย นี่กองทุนมาร์คก็เข้ามาซื้ออีก บิ้วไป ขายไอพีโอว่าแพงแล้ว เข้าตลาดยังแพงได้อีกกกก นักลงทุนไทย สุดยอด(ดอยอีกแล้ว )..
 
ใช้คำพูดแรงไปนิด พาดพิงใคร หรือหุ้นใครไปบ้างก็อภัยนะครับ
 จิ้งจกทักยังฟัง ก็ฟังผมบ่นบ้างละกัน
 
แต่อยากย้ำนะครับ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเป็นหุ้นปั่น แต่ถ้ามีลักษณะร่วมกันหลายข้อ เราเตือนแล้วนะ..
 
ใครจะเสริมข้อไหน หรือแนะนำเพิ่มก็ดีครับ
 
เกือบลืม ไม่ได้ตั้งกระทู้เพราะอิจฉาที่หุ้นปั่นวิ่งเอาๆ นะครับ หุ้นผมก็โอเคนะครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
 
*edit พี่เค้าเขียนเพิ่ม* 

16.ปันผลไม่เคยเห็น
 
จะเห็นได้ไง มีแต่การดูดเงิน(เพิ่มทุน) ไม่มีหน้าที่แจกเงิน (ปันผล) ส่วนใหญ่ขาดทุนซ้ำซาก ปันผลไม่ได้อยู่แล้ว แต่บางตัวมีกำไร ทำไมไม่จ่าย ก็จะแจกเงินให้รายย่อยทำไมล่ะ เราเข้ามาดูดเงินอย่างเดียว เงินอยู่ในบริษัท เดี๋ยวเราก็ดูดออกได้ แบ่งให้รายย่อยทำไม บางบริษัทต้องตุนเงินสดไว้ทำธุรกิจ ปันผลไม่ได้ เพราะแบงค์รู้ทัน ไม่ยอมปล่อยกู้ บริษัทปั่นหุ้น
 
17. อ๊อฟเดส์ไม่เคยโผล่
 
จะโผล่มาได้ไง มีแต่แผลทั้งนั้น มาให้นักลงทุนลากใส้หรือ วัวสันหลังหวะ คนทำผิด ย่อมไม่กล้าสู้หน้าคน กลัวโดนซักมาก เดี๋ยวจับได้ไล่ทัน ผิดกับทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ มีหุ้นปั่นตัวไหน กล้ามาอ๊อฟเดส์บ้าง มีแต่ชอบออกหนังสือพิมพ์ปั่นหุ้น
 
18.สำเร็จกิจ ถีบหัวส่ง
 
การเพิ่มทุนเป็นเป็นกระบวนการที่สำคัญมากๆของการปั่นหุ้น เป็นการ”ดูดเงิน” ที่ถูกกฎหมาย อยู่ๆจะเพิ่มทุน ใคร้รรจะมาซื้อหุ้น วิธีที่ได้ผลและทุกบริษัททำคือ ทำราคา+อัดสตอรี่ จ้างสปอนเซอร์มาทำราคา กระชากขึ้นไป พอราคาขึ้น ก็ถึงตาของผู้บริหารให้ข่าว สอดรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย เราจะทำโปรเจคโน้นนี้ (ใช้เงินทั้งนั้นแหละ) ราคาที่ขึ้นไปเรื่อยๆ บวกสตอรี่ที่สดใส ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพอยู่เบื้องหน้า ถึงจุดไครแม็ก ประกาศเพิ่มทุน (จะเอาไปทำโปรเจคที่ว่าไว้) เพิ่มทุนที่ราคาดอย = ดูดเงินได้สูงสุด พอเพิ่มทุนสำเร็จกิจ ก็แยกทาง ตัวใครตัวมัน สปอนเซอร์หมดหน้าที่ ราคาหุ้นจะค่อยๆไหลลง แม้แต่บริษัทที่พอมีพื้นฐานบ้างก็ทำอย่างนี้ ยังจำกลุ่มสื่อที่หันไปทำธุรกิจดิจิตอลได้ไหม pattern เหมือนที่เล่าเป๊ะๆหรือเปล่า
By โจ ลูกอีสาน

24 กุมภาพันธ์ 2558

หุ้น การลงทุน Value Investment

 EQ ของบัฟเฟตต์ โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้น  การลงทุน  Value Investment 
วอร์เรน บัฟเฟตต์ถ้าพูดถึงความโดดเด่นของบัฟเฟตต์แล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่มาอันดับแรกคงไม่ใช่ความสามารถในการวิเคราะห์หาหุ้นที่มีราคาถูก

เทียบกับคุณสมบัติของบริษัทในแต่ละช่วงเวลา ยิ่งการ “ขุดหุ้น” หรือค้นหาหุ้นที่ดีแต่ยัง “ไม่มีคนเห็น” นั้น บัฟเฟตต์น่าจะไม่ได้ทำมานานมากแล้ว

ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะมองแต่ “ภาพใหญ่” ของบริษัทมากกว่ารายละเอียดลึก ๆ ของการดำเนินงานของบริษัท เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะว่าหุ้นที่บัฟเฟตต์จะลงทุนได้แต่ละตัวนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากจน “รายละเอียด” ไม่ค่อยมีความหมาย แต่สิ่งที่เป็นความโดดเด่นของบัฟเฟตต์ที่ผมคิดว่ามันยัง “คงทน” และเป็นคุณสมบัติติดตัวที่คนเลียนแบบได้ยากก็คือ EQ หรือคุณสมบัติด้านอารมณ์และจิตวิทยาของการลงทุน ว่าที่จริง ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “EQ ของบัฟเฟตต์”

สิ่งแรกที่บัฟเฟตต์ไม่ยอมทำเลยก็คือ เขาจะไม่ลงทุนในสิ่งที่เขาไม่รู้หรือไม่อยู่ใน “ขอบเขตของความรอบรู้” ของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมลงทุนใน “หุ้นไฮเท็ค” เลยทั้ง ๆ ที่หุ้นไฮเท็คปรากฏขึ้นบนโลกมานานและหุ้นจำนวนมากมีราคาขึ้นไปมโหฬาร แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผลตอบแทนของบัฟเฟตต์แย่เมื่อเทียบกับคนที่เล่นหุ้นแนวนั้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าหุ้น “โลว์เท็ค” ของบัฟเฟตต์เองก็ปรับตัวขึ้นเหมือนกันแม้ว่าจะน้อยกว่า แต่ข้อดีของบัฟเฟตต์ก็คือ เขาจะไม่ขาดทุนถ้าหุ้นไฮเท็คจำนวนมากนั้นมีราคาตกลงมาอย่างแรงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านที่เลวร้ายลง สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว เขาเชื่อว่า ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมของการลงทุนนั้น มักจะมาจากธุรกิจธรรมดา ๆ เช่นเฟอร์นิเจอร์หรือชอคโกแล็ตที่บริษัททำได้ดีมากจนเหนือคู่แข่งมาก

ข้อสอง บัฟเฟตต์จะไม่ยอมลงทุนในกิจการหรือโครงการลงทุนที่ “ย่ำแย่” หรือให้ผลตอบแทนที่ต่ำเมื่อเทียบกับเงินทุนที่ลงไปและเขาจะ “ไม่ซื้อความหวัง” เขาต้องการ “ความจริง” ที่เป็นอยู่ ดังนั้น เขาจะไม่สนใจหุ้น “Turnaround” หรือโครงการที่จะช่วย “ฟื้นกิจการ” ของบริษัท นี่เป็นเหตุให้เขามักจะซื้อแต่หุ้นของบริษัทที่มีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ที่สูงลิ่ว หรือในกรณีที่เป็นบริษัทที่เขาควบคุมกิจการได้ เขาก็มักจะไม่อนุมัติให้เอาเงินสดของบริษัทไปลงทุนในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนที่ต่ำกว่าต้นทุนทางการเงิน ตัวอย่างเช่นในกรณีของกิจการสิ่งทอของ เบิร์กไชร์ นั้น เขาไม่ยอมใส่เงินลงไปเพื่อ “ปรับปรุง” ให้บริษัท “สามารถแข่งขันได้” กับคู่แข่งในเอเชีย เพราะเขาคิดว่ายิ่งใส่เงินลงไปก็ยิ่ง “จม” ดังนั้น เขาจึงแค่ประคองธุรกิจสิ่งทอไปเรื่อย ๆ และนำเงินสดที่ได้มาลงทุนซื้อหุ้นที่ดีอื่น ๆ ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้เขามหาศาลจนเป็น “ตำนาน” ของเบิร์กไชร์ในวันนี้

ข้อสามที่เป็นความคิดและอารมณ์ที่มั่นคงของบัฟเฟตต์ก็คือ เขาเชื่อใน “ความจริง” และสนใจใน “ข้อมูลรายงาน” น้อยกว่า ความหมายก็คือ เขาจะไม่ถูก “ลวง” ให้เชื่อโดยตัวเลขรายงานที่ถูก “จัดการ” ให้ดูดีกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทมีการตัดค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรหรือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนต่ำกว่าที่ควรเป็น เขาก็จะไม่เชื่อในตัวเลขกำไรที่จะออกมาดีกว่าปกติ นอกจากนั้น ถ้าเป็นกิจการที่เขาควบคุมเองได้ เขาก็จะไม่ยอมทำอะไรก็ตามที่อาจจะทำให้ดูดีในวันนี้แต่สุดท้ายแล้วก็จะแย่ภายหลัง ตัวอย่างเช่น ในช่วงหนึ่ง เขาปฏิเสธที่จะขายประกันในราคาถูกเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เพราะเขาคิดว่าราคานั้นไม่คุ้ม เขายอมให้กำไรของบริษัทในช่วงนั้นลดลงดีกว่าจะแสดงให้เห็นว่าบริษัทขายประกันได้มากและมีกำไรแต่ในที่สุดแล้วก็จะเสียหายเมื่อผู้ซื้อประกันกลับมาเคลมประกันที่มากกว่ารายรับในภายหลัง การที่เขาทำแบบนั้นทำให้ธุรกิจประกันของเบิร์กไชร์มีกำไรและแข็งแกร่งมาตลอด ในขณะที่บริษัทประกันอื่นนั้นมักจะเสียหายจากการที่พยายามแข่งขันกันแบบ “ฆ่าตัวตาย”

ข้อสี่ที่เป็น “วินัย” ที่เข้มแข็งมากของบัฟเฟตต์ก็คือ เขาเป็นคนที่มีมีความ “อดทนต่อสิ่งยั่วเย้า”สูงมาก เขาจะไม่ซื้อหุ้นเพียงเพราะมันอาจจะทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและง่าย ๆ แต่เป็นหุ้นที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและสามารถเติบโตไปได้เรื่อย ๆ ยาวนานมาก ๆ นอกจากนั้นแล้ว หุ้นของเขาจะต้องเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่พอที่เขาจะลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ราคาที่จะซื้อนั้นต้องสมเหตุผล มี Margin of Safety หรือมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้เขาไม่ขาดทุนในระยะยาวถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น การวิเคราะห์ของเขาเพื่อที่จะหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการนั้น ดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่เรื่องของกระแสเงินสดมากกว่าตัวเลขกำไรที่เป็นข้อมูลทางด้านบัญชีที่อาจจะไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงเต็มที่ และนี่เป็นเหตุผลที่เขาชอบบริษัทที่มีกระแสเงินสดดีและต้องการเงินลงทุนในการขยายธุรกิจต่ำ และด้วยเหตุผลที่ต้องการหาหุ้นที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวทำให้เขาลงทุนในหุ้นน้อยตัวมาก พูดง่าย ๆ ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ที่เขาต้องการ เขายินดีรอไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไรทั้ง ๆ ที่มีเงินสดที่พอกพูนขึ้นมามากมายตลอดเวลาจากการจ่ายปันผลของบริษัทที่เขาถืออยู่

ข้อห้า บัฟเฟตต์นั้นเห็นว่าการมองโลกในแง่ร้ายและความหดหู่ของคนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนซึ่งทำให้หุ้นตกลงมารุนแรงนั้น เป็นโอกาสที่งดงามในการซื้อหุ้น ในขณะที่ช่วงที่สังคมของนักลงทุนกำลังมองโลกในแง่ดีสุด ๆ จนแทบจะเคลิบเคลิ้มซึ่งทำให้หุ้นขึ้นไปอย่างไร้เหตุผลนั้น เป็นเวลาที่จะต้องขายหุ้น เหตุการณ์ช่วงวิกฤติในตลาดหุ้นอเมริกาในปี 2009 นั้น บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นจำนวนมากที่ดูเหมือนว่ากำลังจะ “ล่มสลาย” และในตลาดนั้น นักลงทุนต่างก็กำลังหนีตายและไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นเป็นพยานที่ยืนยันความมั่นคงในจิตใจของบัฟเฟตต์เป็นอย่างดี ในทางตรงกันข้าม บัฟเฟตต์เคยขายหุ้นทิ้งเกือบหมดพอร์ตในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 เนื่องจากหุ้นขึ้นเป็นกระทิงและราคาสูงมาก เช่นเดียวกัน เขาเคยซื้อหุ้นปิโตรเคมีของจีนและขายออกไปเมื่อราคาขึ้นไปสูงลิ่วอย่างไร้เหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องจากบัฟเฟตต์เข้าไปซื้อมัน

ข้อหกซึ่งใกล้เคียงกับข้อห้าก็คือ ทุกครั้งที่เกิด “วิกฤติ” กับหุ้นที่ “ยิ่งใหญ่” และบัฟเฟตต์คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวครั้งเดียวและสามารถแก้ไขได้ เขาจะเข้าไปลงทุนอย่างหนักในหุ้นตัวนั้นเสมอ ตัวอย่างมีมากมาย เช่นกรณีที่เขาลงทุนในบริษัทอเมริกันเอ็กซเพรสเมื่อเกิดกรณีฉ่าวโฉ่เรื่องน้ำมันสลัดที่มีการฉ้อฉลกันในบริษัทแต่ตัวกิจการหลักที่เป็นบัตรเครดิตนั้นไม่ถูกกระทบ เป็นต้น ว่าที่จริง หุ้นที่ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยนั้นถูกซื้อโดยบัฟเฟตต์ในช่วงที่มันมีราคาตกลงมาผิดปกติในยามที่เศรษฐกิจหรือบริษัทมีปัญหาที่ “แก้ไขได้” หรือ “กำลังดีขึ้น” อย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นวิธีทำเงินที่สำคัญมากของบัฟเฟตต์

สุดท้ายก็คือ ระยะเวลาของการลงทุน บัฟเฟตต์มองการลงทุนว่าคือการเข้าเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น เมื่อซื้อแล้ว เขาก็มักจะไม่มีความคิดว่าจะขาย โดยเฉพาะบริษัทที่เขาคิดว่ามันเป็น ซุปเปอร์สต็อกหรือบริษัทที่จะโตต่อไปได้เรื่อย ๆ เนื่องจากมันเป็นธุรกิจที่จะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ ยาวนานและบริษัทมีความได้เปรียบที่ยั่งยืนและธรรมชาติของผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ล้าสมัยและหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้ยาก การที่ไม่คิดว่าจะขายในแทบทุกกรณีทำให้เขาไม่ติดตามราคาหุ้นแบบนักลงทุนทั่วไปที่ต้องติดตามบางทีทุกนาทีหรือทุกวัน บัฟเฟตต์เองนั้นไม่มีจอดูราคาหุ้นด้วยซ้ำ ดังนั้น ราคาหุ้นที่ขึ้นลงผันผวนรายวันหรือรายเดือนจึงไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของบัฟเฟตต์เลย ถ้าจะมีบ้างก็คือ ถ้าหุ้นตกลงมามาก มันอาจจะเป็นโอกาสลงทุนสำหรับบัฟเฟตต์ แต่ก็เฉพาะที่เป็นหุ้นที่ดีมากที่บัฟเฟตต์ยังไม่ลงทุนเนื่องจากราคามันยังแพงเกินไปเท่านั้น

เครดิต กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

9 กุมภาพันธ์ 2558

10 กฏเหล็กของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

10 กฏเหล็กของการวิเคราะห์ทางเทคนิค


1. Map the Trends :: พยายามเริ่มศึกษากราฟจากมุมมองระยะยาวโดยใช้ Monthly หรือ Weekly Charts และดูยาวๆไปหลายๆปี เพื่อให้เห็นภาพกว้างๆ เมื่อได้ภาพใหญ่ในหัว ค่อยย่อมาดูกราฟ Daily หรือ Intra-day Charts ซึ่งควรให้น้ำหนักการเทรดในทิศทางเดียวกันกับ Weekly และ Monthly Charts สมมตินะครับ กราฟระดับ Week บอกเราว่า ตลาดหุ้นปัจจุบันยังเป็นเทรนขาขึ้น ในการเทรดระยะสั้นโดยกราฟ Intraday อยู่ฝั่งซื้อ จะได้เปรียบกว่าฝั่งขาย

2. Spot the Trend and Go With It :: เมื่อได้เทรนใหญ่ สิ่งที่สำคัญคือ Follow The Trend จง Buy on Dips ถ้าเทรนเป็นขาขึ้น และ จง Sell on Strength ถ้าตลาดอยู่ในขาลง ถ้าเทรดระยะกลางให้ใช้ Weekly กับ Daily Charts ถ้าเป็น daytrade ให้ใช้ Daily กับ Intra-Day ไม่ว่าจะเทรดจะระยะกลาง หรือเทรดระยะสั้น ให้ใช้ Charts ที่ระยะยาวกว่า เป็นเทรนหลักในการเทรดช่วงนั้น ยกตัวอย่างเช่น พรุ่งนี้จะ daytrade กับ S50M11 ซักหน่อย ก็ใช้ Daily Charts ดูเทรนหลักว่าเป็นขึ้นหรือลง ลกยุทธ์ของวันพรุ่งนี้ ก็ให้น้ำหนักตามเทรนหลัก ครับ

3. Find the Low and High of It :: พูดง่ายๆก็คือ การหาแนวรับแนวต้านนั้นเอง ที่ๆเหมาะที่สุดในการซื้อก็ถือ แถวๆแนวรับ (Support Level) ส่วนที่ๆเหมาะกับขายที่สุดก็คือ แถวๆแนวต้าน (Resistant Level) คราวนี้ มันก็จะมีกรณีที่เกิดการ Breakout ขึ้นมา ไม่ว่าจะแนวรับหรือแนวต้าน ถ้าเจอ Breakout ก็ให้ตั้งสมมติฐานว่า เทรนหลักที่เราเคยมองไว้ อาจถึงช่วงกลับทิศ แต่ทั้งนี้ บางครั้ง แนวรับ แนวต้าน อาจมีมากกว่า 1 แนว จึงต้องย้อนกลับไปดูกฎข้อแรกที่ให้เรา Map the Trends ด้วยการดูภาพใหญ่ให้ชัด หากหลุดแนวรับหรือแนวต้าน แต่เทรนหลักไม่เสีย ก็ทำตามระบบเดิม

4. Know How Far to Backtrack :: วัดหาระดับของการ Pullback หรือการ Rebound เพราะให้ตลาดขาขึ้นจริง 100% มันก็ไม่มีทางขึ้นอย่างเดียวไปจนจบรอบ ตลาดขาลง ก็ไม่มีทางจะลงรวดเดียวไปจนจบรอบเช่นเดียวกัน ระหว่างทางจะมีการแกว่งตัว ดังนั้นการหา % ของการแกว่งตัว ก็เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ Murphy แนะนำให้ใช้ Golden Ratio Fibonacci Retracement 38.2% และ 61.8% และ 50% ในการหาแนวรับ และแนวต้าน โดย Maximum Retracement จะอยู่ที่ 61.8% หากการเด้งขึ้น หรือ ลง แรงกว่าสัดส่วนนี้ ให้สมมติฐานว่า เทรนหลักอาจกำลังเปลี่ยนไป

5. Draw the Line :: ที่เราเรียกกันว่า Trendline นั้นเองครับ นักเทคนิคไม่ใช่เพียง Murphy ยอมรับว่า เป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุด และแม่นที่สุด แต่ Murphy เชื่อว่า ตลาดหุ้นมีแค่ 2 เทรน นั้นก็คือ Uptrend และ Downtrend (ไม่มี Sideway) ส่วนที่เราเห็นตลาด Sideway เป็นเพราะเราลืมมองภาพใหญ่ (กราฟ Weekly หรือ Monthly) ซึ่ง Murphy ก็บอกไว้ตั้งแต่กฏข้อแรกแล้วว่า ให้ดูก่อน

6.Follow that Average :: นั้นก็คือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ย Moving Average ระยะสั้น กับระยะยาว ตัดกันให้เป็น Buy or Sell Signal เส้นค่าเฉลี่ยที่แนะนำก็คือ 4,9 หรือ 9,18 หรือไม่ก็ 5,20 ถ้าเส้น MA ระยะสั้นตัดระยะยาวขึ้น ก็เป็น Buy Signal ถ้ากลับทาง ก็เป็น Sell Signal (แต่ส่วนตัว ผมไม่เคยใช้เส้นที่ Murphy แนะนำเลยนะ รู้สึกมันให้ False Signal บ่อยเกินไป)

7. Learn the Turns :: ใช้ Oscillators ในการหาภาวะที่ตลาดกำลัง Overbought หรือ Oversold เพื่อเป็นการเตือนถึงจุดกลับทิศทางของตลาดก่อนล่วงหน้า Oscillators ที่นิยมให้กันก็คือ RSI โดยถ้า RSI>70 ก็ Overbought เตรียมลง , ส่วน RSI<30 ก็ Oversold เตรียมขึ้น การเกิด Divergence ใน Oscillators สามารถให้ความแม่นยำให้จุดกลับตัวของตลาดได้ค่อนข้างสูง (ตัวอย่างมีให้เห็นมาตลอด ผมก็ได้เงินจากมันมาเยอะ)

8. Know the Warning Signs :: ต้องรู้ก่อนว่าตลาดจะกำลังให้สัญญาณให้อนาคต เพื่อการเฝ้าระวัง (ไม่ตกรถ ไม่ติดดอย หุหุ) ยกตัวอย่างเช่นการใช้ MACD เพื่อดู Signal โดย Murphy แนะนำให้ดู Histogram ด้วย เพราะแท่ง Histogram เอาไว้บอกความแตกต่างระหว่างเส้น MA 2 เส้น ยิ่ง Histogram สูง แสดงว่า MA ทั้งสองเส้นต่างกันมากเกินไป โดยปกติจะกลับเข้ามาใกล้กันในที่สุด ทำให้ Histogram บอกเราได้ว่า เทรนเป็นยังไง

9. Trend or Not a Trend :: ในช่วงการเทรด มันจะมีบ้างช่วงเป็นธรรมดาที่เราอ่านเทรนหลักไม่ออก ให้ใช้ ADX (Average Directional Movement Index) ถ้า ADX ชันขึ้น แสดงว่าเทรนที่เราเห็นในขณะนั้น มีความแข็งแรงดี (ไม่ว่าจะเป็นเทรนขึ้นเทรนลง) แต่ถ้า ADX อ่อนตัวลง หรือต่ำกว่า 20 ลงไป แสดงว่าเทรนที่เราเห็นยังไม่แข็งแรง หรือเป็น Sideway นั้นเอง >> แล้วทำยังไง? ถ้า ADX แข็งแรง การใช้ Moving Average ตัดกันเพื่อ Buy Signal จะให้ความแม่นยำกว่า Oscillator แต่ถ้า ADX บอกว่าไม่มีเทรน หรือเทรนไม่แข็งแรง การใช้ Oscillator (RSI, Stochastic) มาเทรด จะให้ความแม่นยำมากกว่า
การดู ADX นี่จำเป็นนะครับ ใครไม่รู้เครื่องมือตัวนี้ ใช้แต่ RSI พอตลาดมีเทรนขาขึ้นแรงๆ RSI วิ่งไป Overbought เป็นเดือนๆ ขายหมูกันหมด กลับกัน ลองคิดดูหากตลาดเป็น Bear ลงยาวๆ RSI บอก Oversold เป็นเดือนๆเหมือนกัน เราก็ซื้อจนหมดหน้าตัก มันก็ยังลงไม่หยุด ต้องระวัง

10. Know the Confirming Signs :: เราจะรู้ได้ไงว่า ไอ้ที่เรา Action ไป มันถูกหรือมันผิด? Murphy บอก ดูที่ “Volume” สัญญาณซื้อหรือขายที่เกิดขึ้นไปแล้ว มักจะมาพร้อมๆกับ Volume หรือไม่ก็ Volume จะตามหลังมาจากให้สัญญาณไม่นาน ตย. สำหรับกฏข้อสุดท้ายนี้ เพิ่งเกิดกับ SET Index ในสองวันที่ผ่านมาเลยครับ วันที่ Break 1,000 จุดมา มูลค่าการซื้อขายยัง 2 หมื่น ลบ.ต้นๆ วันนี้บวกต่อพร้อม Volume ทะลักไป 4 หมื่น ลบ. ใครรอ Volume หายไป 10 กว่าจุด น่าสงสาร >.<

จะเห็นว่ากฎทั้ง 10 ข้อ ของ Murphy ส่วนใหญ่เป็นอะไรที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเกินไป แต่ปัญหาคือ เรามักจะลืมมันไปก็แค่นั้นนะ

สุดท้ายขอฝาก Quote ของเขาไว้หน่อย

”Technical analysis is a skill that improves with experience and study. Always be a student and keep learning” – John J. Murphy

29 มกราคม 2558

ทำไมหุ้นตัวนี้ถึงติด Cash Balance

ทำไมหุ้นตัวนี้ถึงติด Cash Balance
หลักเกณฑ์เก่า 3 ข้อ ดังนี้
(๑) ผลประกอบการ 4 ไตรมาสสุดท้าย : >=PE50; และ
(๒) มูลค่าซื้อเฉลี่ยต่อวัน : >=100 ล้านบาท; และ
(๓) %1W Turnover : >=50%
ในรอบสัปดาห์เริ่มวันสุดท้ายของสัปดาห์ (ปกติวันศุกร์) ถึง วันก่อนวันสุดท้ายของสัปดาห์ต่อมา (ปกติวันพฤหัส) หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายทั้ง 3 หลักเกณฑ์ ย้ำ ทั้ง 3 หลักเกณฑ์จะโดน Cash Balance Account เป็นเวลา 3 รอบสัปดาห์
โดย Concept คือ ผลประกอบการขาดทุน แต่ดันมี Volumn เข้ามา Trade เยอะผิดปกติ 
ทำให้คนเข้าไปเล่นอาจจะมีความเสี่ยงได้ ดังนั้นการติด Cash Balance คือต้องวางเงินใน Port ถึงจะ Trade ได้ พวกเล่น Margin จะเข้าไปเล่นไม่ได้
ทำให้ราคามันอยู่ในที่ ที่ควรจะเป็น
ปล. ด้วยความที่ ตลท ไม่ต้องการให้ผู้อื่นสามารถคำนวนหลักทรัพย์ที่จะโดนหลักทรัพย์ที่จะโดน Cash Balance ได้จะทำให้ตัวเองหมดความหมาย เลยได้แก้ไขหลักเกณฑ์ใหม่โดยไม่บอกให้ใครรู้นอกจากพรรคพวกตัวเอง ตัวไหนโดนหรือไม่ขึ้นอยู่ความพอใจตัวเอง ไม่แฟร์เพราะ ตลท เป็นผู้ออกและรักษากฏเกณฑ์เพื่อความเป็นระเบียบ แต่ไม่ยอมบอกกฏเกณฑ์ให้ผู้ใช้รู้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรไม่มีการเลือกบฏิบัติลำเอียง

ads

บล๊อกผมจะมีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับวิธีลงทุน มันนี่ ในแบบของ วันทูมันนี่ ของมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่หารายได้ออนไลน์แบบ หาคนมาต่อ หรือประชุม หลอกมาขายนะครับ ใครอยากเรียนรู้อะไรก็หาอ่านได้ตามสบายนะครับ ไม่มีลิ้งค์อะไรให้สมัครต่อผมหรอกครับ ทุกอย่างที่ผมเขียนไป เป็นวิธีลงทุน และออมเงิน หลายวิธี สำหรับไว้ ออมเงิน สไตร์ วันทูมันนี่ครับ เลือกเรียนรู้กันตามสไตร์คุณเลย