ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าในช่วง
ระยะเวลาเฉลี่ย 10 ปี (2542 – 2552) หุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 11.04% ในขณะที่
การลงทุนอื่น ๆ จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า เช่น เงินฝาก 3.02% พันธบัตร 5.65% เป็นต้น*
* ข้อมูลเหล่านี้หากจะนำไปอ้างอิงต่อ ควรศึกษาเงื่อนไข หรือสมมุติฐานของการคำนวณหรือการวิเคราะห์ด้วย
ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนั้น มีทั้งในรูปแบบ “เงินปันผล (Dividend)” ซึ่งผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับเมื่อบริษัทที่ไปลงทุน
มีกำไรจากผลประกอบการและมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนหุ้นที่ถืออยู่ นอกจากนี้ยังมีผลตอบแทนในรูปแบบ
“กำไรส่วนเกินทุน (capital gain)” ซึ่งเป็นกำไรจากการซื้อขายหุ้น (ซื้อถูกขายแพง) ในตลาดหลักทรัพย์ โดยผลตอบแทนในส่วน
ของ capital gain นี้ จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
ในตลาดหุ้นมีหุ้นที่หมุนเวียนเปลี่ยนมือซื้อขายกันอยู่หลายประเภท เช่น
หุ้น blue chips ซึ่งเป็นหุ้นพื้นฐานดีและมักเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง (ราคาและปริมาณ
การซื้อขายสูง) เพราะเป็นหุ้นชั้นดีที่ผู้ลงทุนหลายรายสนใจลงทุนกันมาก จึงมีชื่อเรียกเช่นเดียว
กับชิพสีฟ้าที่มีมูลค่าสูงในคาสิโน หุ้นปันผล คือ หุ้นที่มีนโยบายการปันผลอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ยังมีหุ้นเก็งกำไรหรือหุ้น hot ที่ร้อนสมชื่อเพราะราคามักขึ้นลงผันผวนมากในหนึ่งวัน
นับเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง
ดังนั้น ในการลงทุนในหุ้นประเภทใดก็ตาม ผู้ลงทุนจึงควรทำการเปรียบเทียบโดยประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
จากการลงทุนและความเสี่ยงของหุ้นนั้น ๆ ให้รอบคอบว่าเหมาะสมกับเป้าหมายในการลงทุนหรือความสามารถในการยอมรับ
ความเสี่ยงของตนเอง (investment profile) ก่อนตัดสินใจลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น