ค้นหา

ข่าวทันหุ้นวันนี้

24 กุมภาพันธ์ 2558

หุ้น การลงทุน Value Investment

 EQ ของบัฟเฟตต์ โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้น  การลงทุน  Value Investment 
วอร์เรน บัฟเฟตต์ถ้าพูดถึงความโดดเด่นของบัฟเฟตต์แล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่มาอันดับแรกคงไม่ใช่ความสามารถในการวิเคราะห์หาหุ้นที่มีราคาถูก

เทียบกับคุณสมบัติของบริษัทในแต่ละช่วงเวลา ยิ่งการ “ขุดหุ้น” หรือค้นหาหุ้นที่ดีแต่ยัง “ไม่มีคนเห็น” นั้น บัฟเฟตต์น่าจะไม่ได้ทำมานานมากแล้ว

ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะมองแต่ “ภาพใหญ่” ของบริษัทมากกว่ารายละเอียดลึก ๆ ของการดำเนินงานของบริษัท เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะว่าหุ้นที่บัฟเฟตต์จะลงทุนได้แต่ละตัวนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากจน “รายละเอียด” ไม่ค่อยมีความหมาย แต่สิ่งที่เป็นความโดดเด่นของบัฟเฟตต์ที่ผมคิดว่ามันยัง “คงทน” และเป็นคุณสมบัติติดตัวที่คนเลียนแบบได้ยากก็คือ EQ หรือคุณสมบัติด้านอารมณ์และจิตวิทยาของการลงทุน ว่าที่จริง ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “EQ ของบัฟเฟตต์”

สิ่งแรกที่บัฟเฟตต์ไม่ยอมทำเลยก็คือ เขาจะไม่ลงทุนในสิ่งที่เขาไม่รู้หรือไม่อยู่ใน “ขอบเขตของความรอบรู้” ของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมลงทุนใน “หุ้นไฮเท็ค” เลยทั้ง ๆ ที่หุ้นไฮเท็คปรากฏขึ้นบนโลกมานานและหุ้นจำนวนมากมีราคาขึ้นไปมโหฬาร แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผลตอบแทนของบัฟเฟตต์แย่เมื่อเทียบกับคนที่เล่นหุ้นแนวนั้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าหุ้น “โลว์เท็ค” ของบัฟเฟตต์เองก็ปรับตัวขึ้นเหมือนกันแม้ว่าจะน้อยกว่า แต่ข้อดีของบัฟเฟตต์ก็คือ เขาจะไม่ขาดทุนถ้าหุ้นไฮเท็คจำนวนมากนั้นมีราคาตกลงมาอย่างแรงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านที่เลวร้ายลง สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว เขาเชื่อว่า ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมของการลงทุนนั้น มักจะมาจากธุรกิจธรรมดา ๆ เช่นเฟอร์นิเจอร์หรือชอคโกแล็ตที่บริษัททำได้ดีมากจนเหนือคู่แข่งมาก

ข้อสอง บัฟเฟตต์จะไม่ยอมลงทุนในกิจการหรือโครงการลงทุนที่ “ย่ำแย่” หรือให้ผลตอบแทนที่ต่ำเมื่อเทียบกับเงินทุนที่ลงไปและเขาจะ “ไม่ซื้อความหวัง” เขาต้องการ “ความจริง” ที่เป็นอยู่ ดังนั้น เขาจะไม่สนใจหุ้น “Turnaround” หรือโครงการที่จะช่วย “ฟื้นกิจการ” ของบริษัท นี่เป็นเหตุให้เขามักจะซื้อแต่หุ้นของบริษัทที่มีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ที่สูงลิ่ว หรือในกรณีที่เป็นบริษัทที่เขาควบคุมกิจการได้ เขาก็มักจะไม่อนุมัติให้เอาเงินสดของบริษัทไปลงทุนในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนที่ต่ำกว่าต้นทุนทางการเงิน ตัวอย่างเช่นในกรณีของกิจการสิ่งทอของ เบิร์กไชร์ นั้น เขาไม่ยอมใส่เงินลงไปเพื่อ “ปรับปรุง” ให้บริษัท “สามารถแข่งขันได้” กับคู่แข่งในเอเชีย เพราะเขาคิดว่ายิ่งใส่เงินลงไปก็ยิ่ง “จม” ดังนั้น เขาจึงแค่ประคองธุรกิจสิ่งทอไปเรื่อย ๆ และนำเงินสดที่ได้มาลงทุนซื้อหุ้นที่ดีอื่น ๆ ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้เขามหาศาลจนเป็น “ตำนาน” ของเบิร์กไชร์ในวันนี้

ข้อสามที่เป็นความคิดและอารมณ์ที่มั่นคงของบัฟเฟตต์ก็คือ เขาเชื่อใน “ความจริง” และสนใจใน “ข้อมูลรายงาน” น้อยกว่า ความหมายก็คือ เขาจะไม่ถูก “ลวง” ให้เชื่อโดยตัวเลขรายงานที่ถูก “จัดการ” ให้ดูดีกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทมีการตัดค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรหรือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนต่ำกว่าที่ควรเป็น เขาก็จะไม่เชื่อในตัวเลขกำไรที่จะออกมาดีกว่าปกติ นอกจากนั้น ถ้าเป็นกิจการที่เขาควบคุมเองได้ เขาก็จะไม่ยอมทำอะไรก็ตามที่อาจจะทำให้ดูดีในวันนี้แต่สุดท้ายแล้วก็จะแย่ภายหลัง ตัวอย่างเช่น ในช่วงหนึ่ง เขาปฏิเสธที่จะขายประกันในราคาถูกเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เพราะเขาคิดว่าราคานั้นไม่คุ้ม เขายอมให้กำไรของบริษัทในช่วงนั้นลดลงดีกว่าจะแสดงให้เห็นว่าบริษัทขายประกันได้มากและมีกำไรแต่ในที่สุดแล้วก็จะเสียหายเมื่อผู้ซื้อประกันกลับมาเคลมประกันที่มากกว่ารายรับในภายหลัง การที่เขาทำแบบนั้นทำให้ธุรกิจประกันของเบิร์กไชร์มีกำไรและแข็งแกร่งมาตลอด ในขณะที่บริษัทประกันอื่นนั้นมักจะเสียหายจากการที่พยายามแข่งขันกันแบบ “ฆ่าตัวตาย”

ข้อสี่ที่เป็น “วินัย” ที่เข้มแข็งมากของบัฟเฟตต์ก็คือ เขาเป็นคนที่มีมีความ “อดทนต่อสิ่งยั่วเย้า”สูงมาก เขาจะไม่ซื้อหุ้นเพียงเพราะมันอาจจะทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและง่าย ๆ แต่เป็นหุ้นที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและสามารถเติบโตไปได้เรื่อย ๆ ยาวนานมาก ๆ นอกจากนั้นแล้ว หุ้นของเขาจะต้องเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่พอที่เขาจะลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ราคาที่จะซื้อนั้นต้องสมเหตุผล มี Margin of Safety หรือมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้เขาไม่ขาดทุนในระยะยาวถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น การวิเคราะห์ของเขาเพื่อที่จะหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการนั้น ดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่เรื่องของกระแสเงินสดมากกว่าตัวเลขกำไรที่เป็นข้อมูลทางด้านบัญชีที่อาจจะไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงเต็มที่ และนี่เป็นเหตุผลที่เขาชอบบริษัทที่มีกระแสเงินสดดีและต้องการเงินลงทุนในการขยายธุรกิจต่ำ และด้วยเหตุผลที่ต้องการหาหุ้นที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวทำให้เขาลงทุนในหุ้นน้อยตัวมาก พูดง่าย ๆ ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ที่เขาต้องการ เขายินดีรอไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไรทั้ง ๆ ที่มีเงินสดที่พอกพูนขึ้นมามากมายตลอดเวลาจากการจ่ายปันผลของบริษัทที่เขาถืออยู่

ข้อห้า บัฟเฟตต์นั้นเห็นว่าการมองโลกในแง่ร้ายและความหดหู่ของคนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนซึ่งทำให้หุ้นตกลงมารุนแรงนั้น เป็นโอกาสที่งดงามในการซื้อหุ้น ในขณะที่ช่วงที่สังคมของนักลงทุนกำลังมองโลกในแง่ดีสุด ๆ จนแทบจะเคลิบเคลิ้มซึ่งทำให้หุ้นขึ้นไปอย่างไร้เหตุผลนั้น เป็นเวลาที่จะต้องขายหุ้น เหตุการณ์ช่วงวิกฤติในตลาดหุ้นอเมริกาในปี 2009 นั้น บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นจำนวนมากที่ดูเหมือนว่ากำลังจะ “ล่มสลาย” และในตลาดนั้น นักลงทุนต่างก็กำลังหนีตายและไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นเป็นพยานที่ยืนยันความมั่นคงในจิตใจของบัฟเฟตต์เป็นอย่างดี ในทางตรงกันข้าม บัฟเฟตต์เคยขายหุ้นทิ้งเกือบหมดพอร์ตในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 เนื่องจากหุ้นขึ้นเป็นกระทิงและราคาสูงมาก เช่นเดียวกัน เขาเคยซื้อหุ้นปิโตรเคมีของจีนและขายออกไปเมื่อราคาขึ้นไปสูงลิ่วอย่างไร้เหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องจากบัฟเฟตต์เข้าไปซื้อมัน

ข้อหกซึ่งใกล้เคียงกับข้อห้าก็คือ ทุกครั้งที่เกิด “วิกฤติ” กับหุ้นที่ “ยิ่งใหญ่” และบัฟเฟตต์คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวครั้งเดียวและสามารถแก้ไขได้ เขาจะเข้าไปลงทุนอย่างหนักในหุ้นตัวนั้นเสมอ ตัวอย่างมีมากมาย เช่นกรณีที่เขาลงทุนในบริษัทอเมริกันเอ็กซเพรสเมื่อเกิดกรณีฉ่าวโฉ่เรื่องน้ำมันสลัดที่มีการฉ้อฉลกันในบริษัทแต่ตัวกิจการหลักที่เป็นบัตรเครดิตนั้นไม่ถูกกระทบ เป็นต้น ว่าที่จริง หุ้นที่ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยนั้นถูกซื้อโดยบัฟเฟตต์ในช่วงที่มันมีราคาตกลงมาผิดปกติในยามที่เศรษฐกิจหรือบริษัทมีปัญหาที่ “แก้ไขได้” หรือ “กำลังดีขึ้น” อย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นวิธีทำเงินที่สำคัญมากของบัฟเฟตต์

สุดท้ายก็คือ ระยะเวลาของการลงทุน บัฟเฟตต์มองการลงทุนว่าคือการเข้าเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น เมื่อซื้อแล้ว เขาก็มักจะไม่มีความคิดว่าจะขาย โดยเฉพาะบริษัทที่เขาคิดว่ามันเป็น ซุปเปอร์สต็อกหรือบริษัทที่จะโตต่อไปได้เรื่อย ๆ เนื่องจากมันเป็นธุรกิจที่จะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ ยาวนานและบริษัทมีความได้เปรียบที่ยั่งยืนและธรรมชาติของผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ล้าสมัยและหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้ยาก การที่ไม่คิดว่าจะขายในแทบทุกกรณีทำให้เขาไม่ติดตามราคาหุ้นแบบนักลงทุนทั่วไปที่ต้องติดตามบางทีทุกนาทีหรือทุกวัน บัฟเฟตต์เองนั้นไม่มีจอดูราคาหุ้นด้วยซ้ำ ดังนั้น ราคาหุ้นที่ขึ้นลงผันผวนรายวันหรือรายเดือนจึงไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของบัฟเฟตต์เลย ถ้าจะมีบ้างก็คือ ถ้าหุ้นตกลงมามาก มันอาจจะเป็นโอกาสลงทุนสำหรับบัฟเฟตต์ แต่ก็เฉพาะที่เป็นหุ้นที่ดีมากที่บัฟเฟตต์ยังไม่ลงทุนเนื่องจากราคามันยังแพงเกินไปเท่านั้น

เครดิต กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

9 กุมภาพันธ์ 2558

10 กฏเหล็กของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

10 กฏเหล็กของการวิเคราะห์ทางเทคนิค


1. Map the Trends :: พยายามเริ่มศึกษากราฟจากมุมมองระยะยาวโดยใช้ Monthly หรือ Weekly Charts และดูยาวๆไปหลายๆปี เพื่อให้เห็นภาพกว้างๆ เมื่อได้ภาพใหญ่ในหัว ค่อยย่อมาดูกราฟ Daily หรือ Intra-day Charts ซึ่งควรให้น้ำหนักการเทรดในทิศทางเดียวกันกับ Weekly และ Monthly Charts สมมตินะครับ กราฟระดับ Week บอกเราว่า ตลาดหุ้นปัจจุบันยังเป็นเทรนขาขึ้น ในการเทรดระยะสั้นโดยกราฟ Intraday อยู่ฝั่งซื้อ จะได้เปรียบกว่าฝั่งขาย

2. Spot the Trend and Go With It :: เมื่อได้เทรนใหญ่ สิ่งที่สำคัญคือ Follow The Trend จง Buy on Dips ถ้าเทรนเป็นขาขึ้น และ จง Sell on Strength ถ้าตลาดอยู่ในขาลง ถ้าเทรดระยะกลางให้ใช้ Weekly กับ Daily Charts ถ้าเป็น daytrade ให้ใช้ Daily กับ Intra-Day ไม่ว่าจะเทรดจะระยะกลาง หรือเทรดระยะสั้น ให้ใช้ Charts ที่ระยะยาวกว่า เป็นเทรนหลักในการเทรดช่วงนั้น ยกตัวอย่างเช่น พรุ่งนี้จะ daytrade กับ S50M11 ซักหน่อย ก็ใช้ Daily Charts ดูเทรนหลักว่าเป็นขึ้นหรือลง ลกยุทธ์ของวันพรุ่งนี้ ก็ให้น้ำหนักตามเทรนหลัก ครับ

3. Find the Low and High of It :: พูดง่ายๆก็คือ การหาแนวรับแนวต้านนั้นเอง ที่ๆเหมาะที่สุดในการซื้อก็ถือ แถวๆแนวรับ (Support Level) ส่วนที่ๆเหมาะกับขายที่สุดก็คือ แถวๆแนวต้าน (Resistant Level) คราวนี้ มันก็จะมีกรณีที่เกิดการ Breakout ขึ้นมา ไม่ว่าจะแนวรับหรือแนวต้าน ถ้าเจอ Breakout ก็ให้ตั้งสมมติฐานว่า เทรนหลักที่เราเคยมองไว้ อาจถึงช่วงกลับทิศ แต่ทั้งนี้ บางครั้ง แนวรับ แนวต้าน อาจมีมากกว่า 1 แนว จึงต้องย้อนกลับไปดูกฎข้อแรกที่ให้เรา Map the Trends ด้วยการดูภาพใหญ่ให้ชัด หากหลุดแนวรับหรือแนวต้าน แต่เทรนหลักไม่เสีย ก็ทำตามระบบเดิม

4. Know How Far to Backtrack :: วัดหาระดับของการ Pullback หรือการ Rebound เพราะให้ตลาดขาขึ้นจริง 100% มันก็ไม่มีทางขึ้นอย่างเดียวไปจนจบรอบ ตลาดขาลง ก็ไม่มีทางจะลงรวดเดียวไปจนจบรอบเช่นเดียวกัน ระหว่างทางจะมีการแกว่งตัว ดังนั้นการหา % ของการแกว่งตัว ก็เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ Murphy แนะนำให้ใช้ Golden Ratio Fibonacci Retracement 38.2% และ 61.8% และ 50% ในการหาแนวรับ และแนวต้าน โดย Maximum Retracement จะอยู่ที่ 61.8% หากการเด้งขึ้น หรือ ลง แรงกว่าสัดส่วนนี้ ให้สมมติฐานว่า เทรนหลักอาจกำลังเปลี่ยนไป

5. Draw the Line :: ที่เราเรียกกันว่า Trendline นั้นเองครับ นักเทคนิคไม่ใช่เพียง Murphy ยอมรับว่า เป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุด และแม่นที่สุด แต่ Murphy เชื่อว่า ตลาดหุ้นมีแค่ 2 เทรน นั้นก็คือ Uptrend และ Downtrend (ไม่มี Sideway) ส่วนที่เราเห็นตลาด Sideway เป็นเพราะเราลืมมองภาพใหญ่ (กราฟ Weekly หรือ Monthly) ซึ่ง Murphy ก็บอกไว้ตั้งแต่กฏข้อแรกแล้วว่า ให้ดูก่อน

6.Follow that Average :: นั้นก็คือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ย Moving Average ระยะสั้น กับระยะยาว ตัดกันให้เป็น Buy or Sell Signal เส้นค่าเฉลี่ยที่แนะนำก็คือ 4,9 หรือ 9,18 หรือไม่ก็ 5,20 ถ้าเส้น MA ระยะสั้นตัดระยะยาวขึ้น ก็เป็น Buy Signal ถ้ากลับทาง ก็เป็น Sell Signal (แต่ส่วนตัว ผมไม่เคยใช้เส้นที่ Murphy แนะนำเลยนะ รู้สึกมันให้ False Signal บ่อยเกินไป)

7. Learn the Turns :: ใช้ Oscillators ในการหาภาวะที่ตลาดกำลัง Overbought หรือ Oversold เพื่อเป็นการเตือนถึงจุดกลับทิศทางของตลาดก่อนล่วงหน้า Oscillators ที่นิยมให้กันก็คือ RSI โดยถ้า RSI>70 ก็ Overbought เตรียมลง , ส่วน RSI<30 ก็ Oversold เตรียมขึ้น การเกิด Divergence ใน Oscillators สามารถให้ความแม่นยำให้จุดกลับตัวของตลาดได้ค่อนข้างสูง (ตัวอย่างมีให้เห็นมาตลอด ผมก็ได้เงินจากมันมาเยอะ)

8. Know the Warning Signs :: ต้องรู้ก่อนว่าตลาดจะกำลังให้สัญญาณให้อนาคต เพื่อการเฝ้าระวัง (ไม่ตกรถ ไม่ติดดอย หุหุ) ยกตัวอย่างเช่นการใช้ MACD เพื่อดู Signal โดย Murphy แนะนำให้ดู Histogram ด้วย เพราะแท่ง Histogram เอาไว้บอกความแตกต่างระหว่างเส้น MA 2 เส้น ยิ่ง Histogram สูง แสดงว่า MA ทั้งสองเส้นต่างกันมากเกินไป โดยปกติจะกลับเข้ามาใกล้กันในที่สุด ทำให้ Histogram บอกเราได้ว่า เทรนเป็นยังไง

9. Trend or Not a Trend :: ในช่วงการเทรด มันจะมีบ้างช่วงเป็นธรรมดาที่เราอ่านเทรนหลักไม่ออก ให้ใช้ ADX (Average Directional Movement Index) ถ้า ADX ชันขึ้น แสดงว่าเทรนที่เราเห็นในขณะนั้น มีความแข็งแรงดี (ไม่ว่าจะเป็นเทรนขึ้นเทรนลง) แต่ถ้า ADX อ่อนตัวลง หรือต่ำกว่า 20 ลงไป แสดงว่าเทรนที่เราเห็นยังไม่แข็งแรง หรือเป็น Sideway นั้นเอง >> แล้วทำยังไง? ถ้า ADX แข็งแรง การใช้ Moving Average ตัดกันเพื่อ Buy Signal จะให้ความแม่นยำกว่า Oscillator แต่ถ้า ADX บอกว่าไม่มีเทรน หรือเทรนไม่แข็งแรง การใช้ Oscillator (RSI, Stochastic) มาเทรด จะให้ความแม่นยำมากกว่า
การดู ADX นี่จำเป็นนะครับ ใครไม่รู้เครื่องมือตัวนี้ ใช้แต่ RSI พอตลาดมีเทรนขาขึ้นแรงๆ RSI วิ่งไป Overbought เป็นเดือนๆ ขายหมูกันหมด กลับกัน ลองคิดดูหากตลาดเป็น Bear ลงยาวๆ RSI บอก Oversold เป็นเดือนๆเหมือนกัน เราก็ซื้อจนหมดหน้าตัก มันก็ยังลงไม่หยุด ต้องระวัง

10. Know the Confirming Signs :: เราจะรู้ได้ไงว่า ไอ้ที่เรา Action ไป มันถูกหรือมันผิด? Murphy บอก ดูที่ “Volume” สัญญาณซื้อหรือขายที่เกิดขึ้นไปแล้ว มักจะมาพร้อมๆกับ Volume หรือไม่ก็ Volume จะตามหลังมาจากให้สัญญาณไม่นาน ตย. สำหรับกฏข้อสุดท้ายนี้ เพิ่งเกิดกับ SET Index ในสองวันที่ผ่านมาเลยครับ วันที่ Break 1,000 จุดมา มูลค่าการซื้อขายยัง 2 หมื่น ลบ.ต้นๆ วันนี้บวกต่อพร้อม Volume ทะลักไป 4 หมื่น ลบ. ใครรอ Volume หายไป 10 กว่าจุด น่าสงสาร >.<

จะเห็นว่ากฎทั้ง 10 ข้อ ของ Murphy ส่วนใหญ่เป็นอะไรที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเกินไป แต่ปัญหาคือ เรามักจะลืมมันไปก็แค่นั้นนะ

สุดท้ายขอฝาก Quote ของเขาไว้หน่อย

”Technical analysis is a skill that improves with experience and study. Always be a student and keep learning” – John J. Murphy

ads

บล๊อกผมจะมีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับวิธีลงทุน มันนี่ ในแบบของ วันทูมันนี่ ของมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่หารายได้ออนไลน์แบบ หาคนมาต่อ หรือประชุม หลอกมาขายนะครับ ใครอยากเรียนรู้อะไรก็หาอ่านได้ตามสบายนะครับ ไม่มีลิ้งค์อะไรให้สมัครต่อผมหรอกครับ ทุกอย่างที่ผมเขียนไป เป็นวิธีลงทุน และออมเงิน หลายวิธี สำหรับไว้ ออมเงิน สไตร์ วันทูมันนี่ครับ เลือกเรียนรู้กันตามสไตร์คุณเลย